วันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2554

บทความ: หรือเพราะอากาศเปลี่ยน

แสงธรรม
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้วันสุข
ปีที่ 6 ฉบับที่ 301 ประจำวัน จันทร์ ที่ 7 มีนาคม 2011
โดย คุณพ่ออนุชา ไชยเดช

หรือเพราะอากาศเปลี่ยน


ขุนเขา ตัดสลับกับหมอกยามเช้า ต้นไม้เขียวชอุ่ม ชะใบด้วยละอองน้ำค้าง ผมขอให้หยุดรถเพื่อบันทึกภาพความงามของดวงอาทิตย์กลมโต กำลังโผล่พ้นขอบฟ้า แค่ได้สูดกลิ่นธรรมชาติ ความสุขง่ายๆก็ถูกซึมซับเข้ามาในตัว ผมนึกถึงคำถามของนักเรียน ม.6 ที่ผมมีโอกาสได้ร่วมค่ายปัจฉิมนิเทศในเช้าวันนั้น “กรุงเทพฯน่าอยู่ไหมคะ?” ผมยิ้มยังไม่ทันจะได้ตอบอะไร เด็กคนหนึ่งพูดแทรกขึ้นมาว่า “คนกรุงเทพฯน่าอิจฉาจะตาย มีห้างให้เดินตั้งเยอะ” ผมยิ้มอีกครั้ง แต่ยิ้มครั้งนี้เป็นยิ้มที่มีคำถาม

อากาศเย็นลงเรื่อยๆเมื่อผมเดินทางมาถึงบ้านดอย อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ จะว่าไปแล้วอากาศเย็นก็ดีเหมือนกัน แต่ถ้าเย็นเกินไปคงแย่ และถ้าเย็นผิดเวล่ำเวลา จะมีอะไรมากะเกณฑ์ กฎกติกาแห่งธรรมชาติ แปรปรวนไปอย่างไม่ต้องสงสัย

น่าแปลกแต่จริง เมื่อมีคนบันทึกภาพรุ้งกินน้ำกลับหัวไว้ได้ มีข้อมูลเพิ่มเติมจากฟอร์เวิร์ดเมล์ฉบับหนึ่งว่า “เมื่อเกิดรุ้งกินน้ำหลังฝนตกในยามเช้าหรือเย็น วงโค้งรุ้งกินน้ำซึ่งมีอยู่ 7 สี ได้แก่ ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง จะโค้งไปตามส่วนโค้งของเปลือกโลก” แต่ในภาพเป็นเป็นรุ้งกินน้ำวงโค้งตรงข้ามกับรุ้งกินน้ำธรรมดา เป็นโค้งกลับด้าน ซึ่งแน่นอนว่าปรากฏการณ์เช่นนี้หาดูได้ยากยิ่ง

การปรากฏของรุ้งกินน้ำ ส่วนใหญ่เป็นช่วงเวลาสดใส นกส่งเสียงร้องพร้อมกับอากาศดีบริสุทธิ์ แต่เมื่อใดรุ้งกินน้ำปรากฏกลับด้าน จึงเป็นสัญญาณเตือนว่า กลียุคกำลังบังเกิด

รุ้งกลับหัวกลับหาง มีคำเรียกว่าวงแหวนครึ่งขอบฟ้า ซึ่งมีคำอธิบายโดยนักปราชญ์เมื่อ 100 กว่าปีก่อน นี่คือรอยแสยะยิ้มพญายม (Cruach’s Grin)

ทักเกอร์ แม็คคาร์ทนีย์ นักมานุษยวิทยาชาวอเมริกัน ที่ฟิลาเดลเฟีย อธิบายว่า “ครูแอ็ค (Cruach)” เป็นเทพเจ้าองค์หนึ่งของชาวเซลติกโบราณ (บรรพบุรุษชาวอังกฤษ) เป็นเทพเจ้าแห่งความตาย และการทำลายล้าง การสร้างรุ้งกินน้ำกลับด้านขึ้นบนท้องฟ้า จึงเป็นคำเตือนจากเทพเจ้าครูแอ็คว่า วาระสุดท้ายของโลกกำลังมาถึงแล้ว

หรือในคัมภีร์ไบเบิลของชาวคริสต์ ได้วาดภาพรุ้งกินน้ำกลับด้านไว้ โดยระบุเป็นลางบอกเหตุว่า โลกกำลังเกิดสงครามระหว่างธรรมะกับอธรรมขึ้นแล้ว

คำทำนายจากยุคโบราณหากนำมาเปรียบเทียบกับสถานการณ์ของโลกในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ยอมรับว่าเข้าเค้า โดยเฉพาะปรากฏการณ์โลกร้อนที่กำลังเกิดขึ้น อาจนำพาไปสู่วาระสุดท้ายของโลกของเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ได้

นักอุตุนิยมวิทยาในยุคปัจจุบัน ก็มีคำอธิบายถึงการเกิดรุ้งกลับหัวว่าเกิดจากภาวะภูมิอากาศของโลก เปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรง

การเกิดรุ้งกินน้ำธรรมดา เกิดขึ้นโดยแสงแดดสาดส่องผ่านละอองน้ำหรืออากาศชื้นในชั้นบรรยากาศ แต่รุ้งกินน้ำกลับหัวเกิดจากการผสมผสานอย่างผิดธรรมชาติ นั่นคือผสมปนเประหว่างอากาศร้อนกับอากาศหนาวเหนือชั้นบรรยากาศแล้วสะท้อนกลับมาเหมือนกระจก จึงเกิดรุ้งกินน้ำกลับหัวขึ้นมา

ดร.แจ็คเกอลีน มิตตอง นักดาราศาสตร์อวกาศแห่งเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ เป็นผู้ถ่ายภาพรุ้งกินน้ำกลับหัวภาพนี้ได้จากท้องฟ้าใกล้บ้านพัก
“ฉันไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อน ฉันอายุ 60 ปีแล้ว ยังแปลกใจกับปรากฏการณ์ประหลาดนี้”
รุ้งกินน้ำกลับหัวเมื่อเกิดขึ้น จะมีแสงสว่างมากกว่ารุ้งกินน้ำธรรมดาหลายเท่า เชื่อกันว่าวงโค้งกลับหัวเกิดจากการสะท้อนแสงมาจากวงแหวนฮาโล หรือฉัพพรรณรังสีของดวงอาทิตย์

ผมได้แต่เสพข่าวโดยไม่แน่ใจว่าควรจะรู้สึกอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ที่เข้าใจคือพลังที่มนุษย์มี จะแปรเปลี่ยนเป็นทางบวกหรือลบ อยู่ที่หัวใจของพวกเขา หัวใจที่รักและพร้อมจะช่วยเหลือ แบ่งปัน หรือหัวใจที่พกพาความเกลียดชังอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ต่อให้เกิดมหันตภัยใหญ่หลวงเพียงใด เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ผ่านเหตุการณ์เหล่านั้นมาได้เสมอ

ผมมีเวลาสั้นๆสำหรับช่วงสุดท้ายก่อนที่จะจบงานปัจฉิมนิเทศในวันนั้น จึงแจกเอกสารที่มีหัวข้อว่า “30 ความสุขง่ายๆ” ให้เด็กๆได้อ่าน และลองเลือกมาสัก 1 ข้อ ความสุขเหล่านั้น เช่นให้มองกระจกแล้วยิ้มให้คนในกระจก ให้ปลูกต้นไม้สักต้นเพื่อจะได้ดูแลชีวิตสักชีวิตหนึ่ง ฯลฯ อะไรแบบนี้เป็นต้น ผมลองสุ่มตัวอย่างดูว่าเด็กๆเลือกอะไร คิดอย่างไร ส่วนใหญ่แล้วก็เข้าเป้าคือ เพื่อจะมีความสุขไม่ต้องทำสิ่งใหญ่โต มีสิ่งเล็กๆรอบตัวที่เราสรรหามาสร้างความสุขได้ เด็กคนหนึ่งเลือกข้อความที่ว่า “ถ้ารู้สึกไม่ชอบใคร ให้เขียนชื่อคนนั้นเอาไว้ บางทีอาจทำให้เราค่อยๆลืมความเกลียด โกรธนั้นลงไปได้” เด็กที่เลือกข้อความนี้ อธิบายเพิ่มเติมว่า “หนูคงไม่ได้เพียงเขียนชื่อเขาหรอกค่ะ หนูวาดรูปเขาไว้เลย” ผมยิ้มคิดว่าคงเข้าทาง “แต่หนูเลือกวาดรูปเขาไว้ที่ถุงเท้าค่ะ ถุงเท้านักเรียนนี่แหละจะได้...ทุกวัน”

เครื่องบินแอร์เอเชีย พาผมกลับสู่สนามบินสุวรรณภูมิของค่ำวันเสาร์ คนที่พักอาศัยอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่บอกผมว่า อากาศช่วงนี้จะเย็นลงอีก ผมกลับมากรุงเทพฯ พร้อมกับการต้อนรับของฟ้าฝนเดือนกุมภาพันธ์ จะสะใจดีไหม กับชีวิตที่เปลี่ยนไปและอากาศที่เปลี่ยนแปลง ผมว่าไม่พอถ้าเราเพียงตระหนกถึงสิ่งที่เปลี่ยน แต่ไม่ตระหนักว่า ท้ายที่สุดแล้ว เราควรจะช่วยกันทำอะไร ตรงไหน ผมเชื่อแน่ว่าไม่ใช่แค่อากาศที่เปลี่ยนแปลง ผู้คนก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 301 วันที่ 5 - 11 มีนาคม พ.ศ. 2554 หน้า 26 คอลัมน์ แสงธรรม โดย คุณพ่ออนุชา ไชยเดช

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น