แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สภาพอากาศ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สภาพอากาศ แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2554

ข่าวสั้นทันภัยรายวัน ประจำวันที่9 มีนาคม 25



09/03 พายุหิมะพัดถล่มแคนาดา ทำให้ไฟฟ้าดับ
พายุฤดูหนาวที่พัดกระหน่ำรัฐนิว บรันส์วิก, เกาะปรินซ์เอดเวิร์ด และควิเบก ทำให้เกิดหิมะและฝนตกหนักทั่วพื้นที่ ความรุนแรงของพายุทำให้ไฟฟ้าถูกตัดขาด เนื่องจากคราบน้ำแข็งเกาะติดตามสายไฟ ส่งผลให้ประชาชนหลายพันคนไม่มีกระแสไฟฟ้าใช้ บริษัทไฟฟ้าต้องเร่งมือกำจัดคราบน้ำแข็งโดยหวังว่าจะแก้ไขปัญหาและสามารถจ่ายไฟให้ชุมชนได้ภายในวันนี้ ทั้งนี้ สถานีโทรทัศน์ CBC News รายงานว่า มีประชาชนเกือบ 23,000 ครัวเรือน ในรัฐปรินซ์ เอดเวิร์ด ไอส์แลนด์ ไม่มีไฟฟ้าใช้ ขณะที่รัฐควิเบก มีหิมะตกหนากว่า 75 เซนติเมตร


9/03 สหรัฐเสี่ยงเกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมฉับพลัน
เจ้าหน้าที่อุตุนิยมวิทยาสหรัฐ เตือนว่าในช่วง 2-3 วันนี้ในเขตแอตแลนติกตอนกลางของสหรัฐ มีโอกาสที่จะเกิดฝนตกหนักลงมาอีก ส่งผลให้น้ำในแม่น้ำหลายสายอาจท่วมบ้านเรือน ทั้งนี้ ที่รัฐนิวเจอร์ซีย์ น้ำได้ลดระดับลงบ้างแล้ว หลังจากเกิดน้ำท่วมหนัก แต่ถนนหลายสายยังจมอยู่ใต้น้ำ ส่วนบริเวณนิวอิงแลนด์ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐ ทางการประกาศเตือนให้ประชาชนระมัดระวังอันตรายจากน้ำท่วมครั้งใหม่ หลังจากที่ผู้คนในพื้นที่ส่วนนี้เพิ่งเผชิญกับหิมะและน้ำท่วม ซึ่งทางการเพิ่งเปิดใช้ถนนหลายสายอีกครั้ง หลังเกิดน้ำท่วมเป็นบริเวณกว้าง


9/03 อุบลประกาศพื้นที่ประสบภัยแล้งแล้ว25อำเภอ
จ.อุบลราชธานี เริ่มเข้าหน้าแล้ง ขณะนี้ชาวบางพื้นที่ เริ่มขาดแคลนน้ำทำการเกษตร หน่วยฝนหลวง เร่งทำฝน เพื่อเพิ่มน้ำในเขื่อนและแหล่งน้ำต่างๆ บรรเทาความแห้งแล้งในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี จังหวัดใกล้เคียง นายสุรพล สายพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี เปิดเผยว่า จากการขึ้นบินสำรวจพื้นที่ประสบภัยแล้ง จังหวัดอุบลราชธานี พบว่า ขณะนี้การเก็บน้ำของเขื่อนสิรินธร
เขื่อนปากมูล พร้อมทั้งแหล่งน้ำต่างๆ มีปริมาณน้ำน้อย บางแห่งตื้นเขินจนมองเห็นพื้นดินใต้น้ำ และลำห้วยหลายสายแห้งขอด ซึ่งถือว่าเริ่มเข้าสู่ขั้นวิกฤติแล้ว ถึงแม้ว่าบางพื้นที่จะทำฝ่ายกักเก็บน้ำไว้ใช้ แต่คงยังไม่เพียงพอสำหรับฤดูแล้งนี้แน่นอน และตั้งแต่วันที่ 3 ม.ค. 54 ที่ผ่านมา หน่วยฝนหลวงฯ ได้ เริ่มทำการบินเพื่อทำฝนหลวง ใช้เครื่องบิน จำนวน 3 ลำ วันละ 2 เที่ยว เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำในเขื่อน และแหล่งน้ำต่างๆ บรรเทาความแห้งแล้งในพื้นที่จังหวัอุบลราชธานี และจังหวัดใกล้เคียง

ทั้งนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ยังเปิดเผยต่อว่า จังหวัดอุบลราชธานี ประกาศพื้นที่ประสบภัยแล้งแล้วทั้ง 25 อำเภอ 2,700 กว่าหมู่ ส่วนการช่วยเหลือน้ำอุปโภค บริโภค ไม่มีปัญหาเพราะได้แบ่งพื้นที่ให้หลายหน่วยงานได้รับผิดชอบให้การช่วยเหลือแล้ว ส่วนที่มีปัญหาคือ น้ำสำหรับการเกษตร ต้องเร่งให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน



9/03 ฝนกระหน่ำอ.ศรีนครินทร์ทำน้ำป่าหลากท่วมบ้านเรือน200หลัง
จังหวัดพัทลุงว่าสภาพฝนที่ตกลงมาอย่างหนักตลอดทั้งคืนของวันที่ 8 มีนาคม ที่ผ่านมาทำให้พื้นที่จังหวัดพัทลุง โดยเฉพาะพื้นที่อำเภอศรีนครินทร์ วัดปริมาณน้ำฝนได้ 120 มม. และอำเภอควนขนุน วัดได้ 116 มม. ส่งผลให้เกิดน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมบ้านเรือนและพื้นที่การเกษตร ในพื้นที่ ม. 2 ม. 3 ต.แพรกหา อ.ควนขนุน ทำให้บ้านเรือนกว่า 200 ครัวเรือนถูกน้ำท่วมขัง

นางอุ๋ย หนูเอียด อายุ 47 ปี บ้านเลขที่ 174 ม. 3 ต.แพรกหา อ.ควนขนุน จ.พัทลุง กล่าวว่า เมื่อคืนที่ผ่านได้มีฝนตกลงมาอย่างหนักตั้งแต่ตอนค่ำ จนกระทั่งช่วงตี 5 ได้มีกระแสน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมบ้านเรือนทำให้ต้องช่วยกันเคลื่อนย้ายข้าวของไว้ในที่สูงได้บางส่วน แต่มีตู้เย็นได้รับความเสียหาย เนื่องจากขนเคลื่อนย้ายไม่ทัน

ด้านนายจำลอง ไกรดิษฐ์ นายอำเภอควนขนุน กล่าวว่า เบื้องต้นได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สำรวจความเสียหาย พบว่าบ้านเรือนประชาชนถูกน้ำท่วมฉับพลันประมาณ 200 ครัวเรือน พื้นที่การเกษตรถูกน้ำท่วมขัง บางส่วน จึงรายงานความเดือดร้อนของชาวบ้านไปยังสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดพัทลุงเพื่อให้การช่วยเหลือชาวบ้านแล้ว



9/03 บุรีรัมย์แห้งวิกฤตสุดรอบ 40 ปี ชาวบ้านวอนรัฐสร้างเขื่อนแก้แล้งซ้ำซาก



สถานการณ์ภัยแล้งจ.บุรีรัมย์เริ่มรุนแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง น้ำในลำน้ำมูลที่ไหลผ่าน อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ มีสภาพตื้นเขินแห้งขอดเร็วกว่าทุกปีที่ผ่านมา และเข้าขั้นวิกฤตสุดในรอบ40 ปี ส่งผลกระทบกับระบบผลิตน้ำประปา 2 หมู่บ้าน ติดริมมูล คือ บ้านท่าเรือ และ บ้านท่าม่วง ต.ท่าม่วง อ.สตึก ไม่มีน้ำในการทำประปาสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านมานานกว่า 1 เดือน อีกทั้งน้ำมีสภาพเน่าเหม็นเนื่องจากตื้นเขินไม่ไหลเวียน

จากปัญหาดังกล่าวชาวบ้านจึงได้เร่งของบประมาณจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อนำมาใช้ในการขุดลอกพื้นทรายลึกลงให้น้ำไหลซึมออกมา ก่อนสูบน้ำขึ้นมาทำประปา เพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภคในหมู่บ้าน ซึ่งชาวบ้านบอกว่า น้ำในลำน้ำมูลได้เริ่มแห้งและตื้นเขินมาตั้งแต่เดือนก.พ.ที่ผ่านมา จากปกติทุกปีน้ำจะเริ่มแห้งประมาณปลายเดือนมี.ค. หรือต้นเดือนเม.ย.

ทั้งเชื่อว่าสาเหตุที่น้ำในลำน้ำมูลประสบปัญหาแห้งขอดลงอย่างรวดเร็วในปีนี้อาจเนื่องมาจากสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไป ประกอบกับปีนี้ได้มีเกษตรกรใช้เครื่องสูบน้ำสูบน้ำจากลำน้ำมูลขึ้นไปใช้ในการทำนาปรังมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา เพราะรัฐบาลมีโครงการประกันรายได้

เกษตรกรเป็นสิ่งจูงใจให้มีการทำนาปรังเป็นจำนวนมาก จนทำให้น้ำในลำน้ำมูลเกิดวิกฤตแห้งขอด จึงขอให้ทางภาครัฐ หรือหน่วยงานที่รับผิดชอบ เข้ามาสำรวจสร้างเขื่อนหรือฝายน้ำล้นเพื่อแก้ไขปัญหาระยะยาวให้กับชาวบ้านและเกษตรกร ได้มีน้ำกินน้ำใช้และน้ำในการทำการเกษตรได้ตลอดทั้งปี

ด้านนายโสภา มิตรเจริญ อายุ 50 ปี ผู้ดูแลระบบประปาหมู่บ้านบ้านท่าเรือ อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ กล่าวว่า เดือนที่ผ่านมาไม่สามารถสูบน้ำจากลำน้ำมูลมาทำประปาได้ เนื่องจากน้ำมีสภาพแห้งขอดและตื้นเขินอยู่ในขั้นวิกฤต ชาวบ้านได้ของบประมาณฉุกเฉิน จากองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ท่าม่วงมาทำการขุดลอก เพื่อให้น้ำไหลซึมออกมากักเก็บในบ่อก่อนที่จะสูบขึ้นมาทำน้ำประปาหมู่บ้าน โดยในปีนี้ได้ขุดลอกไปแล้วถึง 2 ครั้ง ซึ่งสถานการณ์น้ำมูลที่ตื้นเขินดังกล่าวไม่เคยพบมาก่อนในรอบ 40 ปี

ทางด้านบรรพต ฉิมมานิตย์ อายุ 49 ปี ชาวบ้านบ้านท่าเรือ ต.ท่าม่วง อ.สตึก บอกว่า ปีนี้น้ำมูลได้ตื้นเขินแห้งขอดลงอย่างรวดเร็ว จนทำให้ไม่มีน้ำทำประปา สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านบ้านท่าเรือน กว่า 200 ครัวเรือน ไม่มีน้ำใช้ ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา บางครัวเรือนที่น้ำในโอ่งหรือภาชนะกักเก็บที่รองน้ำฝนไว้ได้หมดลง ต้องซื้อน้ำจากพ่อค้ารถเร่เพื่อใช้บริโภคบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าไปก่อน ส่วนน้ำอุปโภคหรือน้ำใช้ชาวบ้านต้องนำรถเข็นไปตักน้ำในลำน้ำมูลที่ตื้นเขิน และมีกลิ่นเหม็น มาอาบแก้ไขปัญหาชั่วคราว เพราะน้ำลำคลองหรือแหล่งน้ำตามธรรมชาติ ก็เหือดแห้งหมดแล้ว

นางบรรพต กล่าวอีกว่า ส่วนน้ำในบ่อที่ทาง อบต.มาทำการขุดลอกเพื่อใช้ทำประปา ก็คาดว่าจะใช้ได้อีกไม่เกิน 1 - 2 เดือนเท่านั้น จึงอยากเรียกร้องให้ทางภาครัฐได้เร่งเข้ามาช่วยเหลือชาวบ้าน ส่วนในระยะยาวก็อยากให้ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาสำรวจสร้างเขื่อนหรือฝายกักเก็บน้ำ เพื่อให้มีน้ำอุปโภคบริโภค และทำการเกษตรได้ตลอดทั้งปี เพราะชาวบ้านต้องเผชิญกับปัญหาแล้งซ้ำซากเช่นนี้เป็นประจำทุกปี และสถานการณ์ก็ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ



9/03 เกิดสึนามิขนาดเล็กแผ่นดินไหว ขนาด 7.3 ริกเตอร์ประเทศญี่ปุ่น

แผ่นดินไหว ขนาด 7.3 ริกเตอร์ ลึก 5 กม.ฝั่งตะวันออกประเทศญี่ปุ่นทตอนเหนือ เกาะฮอนชู เมื่อเวลา 9.45น.ตามเวลาประเทศไทย มีรายงานพบสึนามิขนาดเล็กขณะที่เกิด อาฟเตอร์ช็อคตามาแล้วกว่า 2 ครั้ง ขนาด 5.8 ริกเตอร์ ลึก 75 กม.และ5.5 ริกเตอร์ จุดศูนย์กลางเดิม แต่ยังไม่มีรายงานความเสียหายหรือบาดเจ็บ


9/03 เชียงใหม่ ประกาศแล้งเพิ่มอีก 1 อำเภอ อนุมัติงบฯ อำเภอละ 1 ล้าน ช่วยเหลือ
จังหวัดเชียงใหม่ ประกาศพื้นที่ประสบภัยแล้งเพิ่มอีก 1 อำเภอ คือ อำเภอสันทราย รวมเป็น 9 อำเภอ นายประจญ ปรัชญ์สกุล หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า จังหวัดเชียงใหม่ ประกาศพื้นที่ประสบภัยพิบัติจากภัยแล้ง 9 อำเภอ คือ อำเภอฮอด, สันป่าตอง, อมก๋อย, ดอยเต่า, สะเมิง, กัลยาณิวัฒนา, จอมทอง, ดอยหล่อ และสันทราย โดยพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่นอกเขตชลประทาน ที่ประสบภัยแล้งซ้ำซาก และพื้นที่ ที่ประกาศไปแล้ว 9 อำเภอ มีประชาชนเดือดร้อนกว่า 24,700 ครัวเรือน หรือ 89,600 คน พื้นที่เสียหายครอบคลุม 36 ตำบล 228 หมู่บ้าน โดย ผู้ว่าราชการจังหวัด ได้อนุมัติงบประมาณตามอำนาจและระเบียบกระทรวงการคลัง ให้อำเภอละ 1,000,000 บาท เพื่อเร่งช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อน และให้จัดหาแหล่งน้ำอุปโภคบริโภคส่วนอีก 16 อำเภอ ที่เหลือ ก็มีพื้นที่ ที่ประสบภัยแล้ง แต่ยังอยู่ในความสามารถของพื้นที่ ที่ดูแลได้ ซึ่งหากเกินกำลัง ก็จะมีการประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติจากภัยแล้งต่อไป


9/03 สุราษฏร์ธานีลงไปชาวเรือควรเพิ่มความระมัดระวังอันตรายในการเดินเรือ 9-11 มี.ค.
บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางได้แผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยและทะเลจีนใต้แล้ว ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ เกิดขึ้น
อนึ่ง ในช่วงวันที่ 9-11 มี.ค. ลมตะวันออกที่พัดปกคลุมภาคใต้และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้นทำให้คลื่นลมตั้งแต่จังหวัดสุราษฏร์ธานีลงไปจะมีกำลังแรงขึ้นโดยทะเลมี
คลื่นสูง ประมาณ 2 เมตร ชาวเรือควรเพิ่มความระมัดระวังอันตรายในการเดินเรือ



9/03 พายุฤดูร้อน ถล่ม จ.พิจิตร มืดทั้งเมือง

ว่าที่ร้อยตรีสิทธิโชค อินทร์ปนาม ผู้จัดการ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร เปิดเผยถึง ความเสียหายอันเนื่องมาจาก ได้เกิดพายุฤดูร้อนพัดกระหน่ำในเขตพื้นที่ อ.ตะพานหิน อ.ทับคล้อ ว่า ได้มีทั้งลมพายุและฝนตกลงมาอย่างหนักเป็นเวลานานเกือบ 2 ชั่วโมง จนส่งผลให้ลมพายุ พัดเสาไฟฟ้าแรงสูงที่ตั้งอยู่ริมถนนตะพานหิน-ทับคล้อ ช่วงหลักกิโลเมตรที่ 7 - 9 ระยะทาง 2 กิโลเมตร ส่งผลให้เสาไฟฟ้าแรงสูงจำนวน 39 ต้น หักโค่นล้มระเนระนาด สายไฟฟ้าแรงสูง และสายโทรศัพท์ขาด ได้รับความเสียหาย ส่งผลให้ไฟฟ้าดับในพื้นที่บ้านเรือนราษฎรเกือบ 7,000 หลังคาเรือน ล่าสุด การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค อ.ตะพานหิน ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่กว่า 50 คน เร่งกู้สถานการณ์ เพื่อที่จะได้จ่ายกระแสไฟฟ้าเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต ก็ได้เร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าวร่วมกันแล้ว


สำหรับความเสียหายเกี่ยวกับพืชผลทางการเกษตรและบ้านเรือนประชาชนนั้น ก็กำลังเร่งสำรวจเพื่อให้ อบต. และป้องกันบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดพิจิตร เข้าดำเนินการในการช่วยเหลือต่อไป






ที่มา

กรมอุตุฯ เตือน ปชช.ระมัดระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อนในช่วงวันที่ 8-12 มี.ค.

กรมอุตุฯ เตือน ปชช.ระมัดระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อนในช่วงวันที่ 8-12 มี.ค.

พุธที่ 9 มีนาคม 2554 03:55:22 น.
สำนักพยากรณ์อากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา เปิดเผยว่า บริเวณความกดอากาศสูง หรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลาง ได้แผ่ลงมาปกคลุมถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย และทะเลจีนใต้แล้ว ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และมีลูกเห็บตกได้ในบางพื้นที่ โดยเริ่มในภาคตะวันออกเฉียงเหนือก่อน ส่วนภาคอื่นๆ จะได้รับผลกระทบในระยะต่อไป จึงขอให้ประชาชนในภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบน ระมัดระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อนในช่วงวันที่ 8 - 12 มี.ค.2554 (ประกาศ ณ วันที่ 8 มีนาคม พ.ศ.2554 ออกประกาศ เวลา 05.00 น.)

ที่มา  หนังสือพิมพ์แนวหน้า

บทความ: หรือเพราะอากาศเปลี่ยน

แสงธรรม
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้วันสุข
ปีที่ 6 ฉบับที่ 301 ประจำวัน จันทร์ ที่ 7 มีนาคม 2011
โดย คุณพ่ออนุชา ไชยเดช

หรือเพราะอากาศเปลี่ยน


ขุนเขา ตัดสลับกับหมอกยามเช้า ต้นไม้เขียวชอุ่ม ชะใบด้วยละอองน้ำค้าง ผมขอให้หยุดรถเพื่อบันทึกภาพความงามของดวงอาทิตย์กลมโต กำลังโผล่พ้นขอบฟ้า แค่ได้สูดกลิ่นธรรมชาติ ความสุขง่ายๆก็ถูกซึมซับเข้ามาในตัว ผมนึกถึงคำถามของนักเรียน ม.6 ที่ผมมีโอกาสได้ร่วมค่ายปัจฉิมนิเทศในเช้าวันนั้น “กรุงเทพฯน่าอยู่ไหมคะ?” ผมยิ้มยังไม่ทันจะได้ตอบอะไร เด็กคนหนึ่งพูดแทรกขึ้นมาว่า “คนกรุงเทพฯน่าอิจฉาจะตาย มีห้างให้เดินตั้งเยอะ” ผมยิ้มอีกครั้ง แต่ยิ้มครั้งนี้เป็นยิ้มที่มีคำถาม

อากาศเย็นลงเรื่อยๆเมื่อผมเดินทางมาถึงบ้านดอย อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ จะว่าไปแล้วอากาศเย็นก็ดีเหมือนกัน แต่ถ้าเย็นเกินไปคงแย่ และถ้าเย็นผิดเวล่ำเวลา จะมีอะไรมากะเกณฑ์ กฎกติกาแห่งธรรมชาติ แปรปรวนไปอย่างไม่ต้องสงสัย

น่าแปลกแต่จริง เมื่อมีคนบันทึกภาพรุ้งกินน้ำกลับหัวไว้ได้ มีข้อมูลเพิ่มเติมจากฟอร์เวิร์ดเมล์ฉบับหนึ่งว่า “เมื่อเกิดรุ้งกินน้ำหลังฝนตกในยามเช้าหรือเย็น วงโค้งรุ้งกินน้ำซึ่งมีอยู่ 7 สี ได้แก่ ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง จะโค้งไปตามส่วนโค้งของเปลือกโลก” แต่ในภาพเป็นเป็นรุ้งกินน้ำวงโค้งตรงข้ามกับรุ้งกินน้ำธรรมดา เป็นโค้งกลับด้าน ซึ่งแน่นอนว่าปรากฏการณ์เช่นนี้หาดูได้ยากยิ่ง

การปรากฏของรุ้งกินน้ำ ส่วนใหญ่เป็นช่วงเวลาสดใส นกส่งเสียงร้องพร้อมกับอากาศดีบริสุทธิ์ แต่เมื่อใดรุ้งกินน้ำปรากฏกลับด้าน จึงเป็นสัญญาณเตือนว่า กลียุคกำลังบังเกิด

รุ้งกลับหัวกลับหาง มีคำเรียกว่าวงแหวนครึ่งขอบฟ้า ซึ่งมีคำอธิบายโดยนักปราชญ์เมื่อ 100 กว่าปีก่อน นี่คือรอยแสยะยิ้มพญายม (Cruach’s Grin)

ทักเกอร์ แม็คคาร์ทนีย์ นักมานุษยวิทยาชาวอเมริกัน ที่ฟิลาเดลเฟีย อธิบายว่า “ครูแอ็ค (Cruach)” เป็นเทพเจ้าองค์หนึ่งของชาวเซลติกโบราณ (บรรพบุรุษชาวอังกฤษ) เป็นเทพเจ้าแห่งความตาย และการทำลายล้าง การสร้างรุ้งกินน้ำกลับด้านขึ้นบนท้องฟ้า จึงเป็นคำเตือนจากเทพเจ้าครูแอ็คว่า วาระสุดท้ายของโลกกำลังมาถึงแล้ว

หรือในคัมภีร์ไบเบิลของชาวคริสต์ ได้วาดภาพรุ้งกินน้ำกลับด้านไว้ โดยระบุเป็นลางบอกเหตุว่า โลกกำลังเกิดสงครามระหว่างธรรมะกับอธรรมขึ้นแล้ว

คำทำนายจากยุคโบราณหากนำมาเปรียบเทียบกับสถานการณ์ของโลกในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ยอมรับว่าเข้าเค้า โดยเฉพาะปรากฏการณ์โลกร้อนที่กำลังเกิดขึ้น อาจนำพาไปสู่วาระสุดท้ายของโลกของเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ได้

นักอุตุนิยมวิทยาในยุคปัจจุบัน ก็มีคำอธิบายถึงการเกิดรุ้งกลับหัวว่าเกิดจากภาวะภูมิอากาศของโลก เปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรง

การเกิดรุ้งกินน้ำธรรมดา เกิดขึ้นโดยแสงแดดสาดส่องผ่านละอองน้ำหรืออากาศชื้นในชั้นบรรยากาศ แต่รุ้งกินน้ำกลับหัวเกิดจากการผสมผสานอย่างผิดธรรมชาติ นั่นคือผสมปนเประหว่างอากาศร้อนกับอากาศหนาวเหนือชั้นบรรยากาศแล้วสะท้อนกลับมาเหมือนกระจก จึงเกิดรุ้งกินน้ำกลับหัวขึ้นมา

ดร.แจ็คเกอลีน มิตตอง นักดาราศาสตร์อวกาศแห่งเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ เป็นผู้ถ่ายภาพรุ้งกินน้ำกลับหัวภาพนี้ได้จากท้องฟ้าใกล้บ้านพัก
“ฉันไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อน ฉันอายุ 60 ปีแล้ว ยังแปลกใจกับปรากฏการณ์ประหลาดนี้”
รุ้งกินน้ำกลับหัวเมื่อเกิดขึ้น จะมีแสงสว่างมากกว่ารุ้งกินน้ำธรรมดาหลายเท่า เชื่อกันว่าวงโค้งกลับหัวเกิดจากการสะท้อนแสงมาจากวงแหวนฮาโล หรือฉัพพรรณรังสีของดวงอาทิตย์

ผมได้แต่เสพข่าวโดยไม่แน่ใจว่าควรจะรู้สึกอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ที่เข้าใจคือพลังที่มนุษย์มี จะแปรเปลี่ยนเป็นทางบวกหรือลบ อยู่ที่หัวใจของพวกเขา หัวใจที่รักและพร้อมจะช่วยเหลือ แบ่งปัน หรือหัวใจที่พกพาความเกลียดชังอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ต่อให้เกิดมหันตภัยใหญ่หลวงเพียงใด เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ผ่านเหตุการณ์เหล่านั้นมาได้เสมอ

ผมมีเวลาสั้นๆสำหรับช่วงสุดท้ายก่อนที่จะจบงานปัจฉิมนิเทศในวันนั้น จึงแจกเอกสารที่มีหัวข้อว่า “30 ความสุขง่ายๆ” ให้เด็กๆได้อ่าน และลองเลือกมาสัก 1 ข้อ ความสุขเหล่านั้น เช่นให้มองกระจกแล้วยิ้มให้คนในกระจก ให้ปลูกต้นไม้สักต้นเพื่อจะได้ดูแลชีวิตสักชีวิตหนึ่ง ฯลฯ อะไรแบบนี้เป็นต้น ผมลองสุ่มตัวอย่างดูว่าเด็กๆเลือกอะไร คิดอย่างไร ส่วนใหญ่แล้วก็เข้าเป้าคือ เพื่อจะมีความสุขไม่ต้องทำสิ่งใหญ่โต มีสิ่งเล็กๆรอบตัวที่เราสรรหามาสร้างความสุขได้ เด็กคนหนึ่งเลือกข้อความที่ว่า “ถ้ารู้สึกไม่ชอบใคร ให้เขียนชื่อคนนั้นเอาไว้ บางทีอาจทำให้เราค่อยๆลืมความเกลียด โกรธนั้นลงไปได้” เด็กที่เลือกข้อความนี้ อธิบายเพิ่มเติมว่า “หนูคงไม่ได้เพียงเขียนชื่อเขาหรอกค่ะ หนูวาดรูปเขาไว้เลย” ผมยิ้มคิดว่าคงเข้าทาง “แต่หนูเลือกวาดรูปเขาไว้ที่ถุงเท้าค่ะ ถุงเท้านักเรียนนี่แหละจะได้...ทุกวัน”

เครื่องบินแอร์เอเชีย พาผมกลับสู่สนามบินสุวรรณภูมิของค่ำวันเสาร์ คนที่พักอาศัยอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่บอกผมว่า อากาศช่วงนี้จะเย็นลงอีก ผมกลับมากรุงเทพฯ พร้อมกับการต้อนรับของฟ้าฝนเดือนกุมภาพันธ์ จะสะใจดีไหม กับชีวิตที่เปลี่ยนไปและอากาศที่เปลี่ยนแปลง ผมว่าไม่พอถ้าเราเพียงตระหนกถึงสิ่งที่เปลี่ยน แต่ไม่ตระหนักว่า ท้ายที่สุดแล้ว เราควรจะช่วยกันทำอะไร ตรงไหน ผมเชื่อแน่ว่าไม่ใช่แค่อากาศที่เปลี่ยนแปลง ผู้คนก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 301 วันที่ 5 - 11 มีนาคม พ.ศ. 2554 หน้า 26 คอลัมน์ แสงธรรม โดย คุณพ่ออนุชา ไชยเดช

สภาพอากาศทั่วโลก: Could 'supermoon' next week disrupt Earth's weather?:


Could 'supermoon' next week disrupt Earth's weather?


Moon comes at its closest approach for 19 years

By DAILY MAIL REPORTER
Last updated at 4:29 PM on 8th March 2011
Earth will next week be at its closest point to the moon since 1992.
The March 19 event - known as a 'lunar perigee' - will see the moon pass just 221,567miles away from our planet.
Earth will be at its closest point - some 221,567 miles away - to the moon in 19 years on March 19. Some fear the 'lunar perigee' will affect our climate pattern
Earth will be at its closest point - some 221,567 miles away - to the moon in 19 years on March 19. Some fear the 'lunar perigee' will affect our climate pattern
But the Internet is awash with conspiracy-minded amateur scientists warning that such a 'supermoon' could disrupt Earth's climate patterns and may even cause earthquakes and volcanic activity.
 
Previous supermoons took place in 1955, 1974, 1992 and 2005 - all years that had extreme weather events.
The tsunami that killed hundreds of thousands of people in Indonesia happened two weeks before the January 2005 supermoon. And on Christmas Day 1974, Cyclone Tracy laid waste to Darwin, Australia.
Previous supermoons took place in 1955, 1974, 1992 and 2005 - all years that had extreme weather events
Previous supermoons took place in 1955, 1974, 1992 and 2005 - all years that had extreme weather events
But Pete Wheeler of the International Centre for Radio Astronomy said to treat any warnings of an impending apocalypse with scepticism. 
'There will be no earthquakes or volcanoes erupting, unless they are to happen anyway,' he told news.com.au.
'The Earth will experience just a lower than usual low tide and a higher than usual high tide around the time of the event, but nothing to get excited about.'
Australian astronomer David Reneke agrees, pointing out that conspiracy theorists will always be able to find a natural disaster to link to a certain time and blame it on a supermoon.
He told the website: 'If you try hard enough you can chronologically associate almost any natural disaster or event to anything in the night sky - comet, planet, sun.
'Remember in the past, planetary alignments were going to pull the sun apart. It didn't happen. Astrologers draw a very long bow most times.
'Normal king tides are about all I would expect out of this supermoon prediction.'
Coincidence? Banda Aceh, Indonesia, was devastated by the December 2004 tsunami which took place two weeks before a supermoon
Coincidence? Banda Aceh, Indonesia, was devastated by the December 2004 tsunami which took place two weeks before a supermoon
Whatever does or doesn't happen, we are still learning about the moon all the time.
In January, it emerged that signals from seismic sensors left on the lunar surface by Apollo astronauts in 1971 have revealed that the moon has a liquid core similar to Earth's.
Scientists at Nasa applied contemporary seismological techniques to the data being emitted from sensors placed by their colleagues during the U.S. space program's heyday.
The research suggested the moon possesses a solid, iron-rich inner core with a radius of nearly 150 miles and a fluid, primarily liquid-iron outer core with a radius of roughly 205 miles.
Where it differs from Earth is a partially molten boundary layer around the core estimated to have a radius of nearly 300 miles.
The data sheds light on the evolution of a lunar dynamo - a natural process by which our moon may have generated and maintained its own strong magnetic field.


Read more: dailymail